Present Tense
ประโยคในภาษาอังกฤษนั้น สำคัญในเรื่องของ Tense ซึ่งหมายถึงรูปของคํากริยาที่บอกเวลาของการกระทํา ที่เกิดขึ้น ณ เวลาที่แตกต่างกันจะใช้รูปของคํากริยาที่แตกต่างกัน โดย Tense ในภาษาอังกฤษนั้นมีด้วยกัน 12 Tense แบ่งเป็น tense หลัก 3 Tense แบ่งตามช่วงเวลา คือ
1.Present Tense ใช้กับการกระทําที่เป็นปัจจุบัน
2.Past Tense ใช้กับการกระทําที่เป็นอดีต
3. Future Tense ใช้กับการกระทําที่เป็นอนาคต
การนำTenseไปใช้นั้น ไม่ยากอย่างที่เขียน เราสามารถค่อยๆ เรียน และทำความเข้าใจไปทีละ Tense เราลองมาดู Tense แรกกันเลยดีกว่า เป็นTenseหลักและพื้นฐานที่ควรรู้ นั่นคือ Present Simple Tense
2.Past Tense ใช้กับการกระทําที่เป็นอดีต
3. Future Tense ใช้กับการกระทําที่เป็นอนาคต
การนำTenseไปใช้นั้น ไม่ยากอย่างที่เขียน เราสามารถค่อยๆ เรียน และทำความเข้าใจไปทีละ Tense เราลองมาดู Tense แรกกันเลยดีกว่า เป็นTenseหลักและพื้นฐานที่ควรรู้ นั่นคือ Present Simple Tense
Present Simple Tense เป็น Tense ที่พูดถึงปัจจุบัน นำไปใช้กับเหตุการณ์ ดังนี้
1. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน หรือเกิดขณะที่พูดเช่น
- Ann watches television.
- Ron takes a bath in the bathroom.
2. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เป็นจริงตามธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นอดีต ปัจจุบัน
หรืออนาคตเช่น
- Tiger is a dangerous animal.
- The earth moves around the sun.
3. ใชักับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นบ่อยๆซ้ำๆจนเป็นกิจวัตรประจำวันหรือประจำเดือน
1. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน หรือเกิดขณะที่พูดเช่น
- Ann watches television.
- Ron takes a bath in the bathroom.
2. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เป็นจริงตามธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นอดีต ปัจจุบัน
หรืออนาคตเช่น
- Tiger is a dangerous animal.
- The earth moves around the sun.
3. ใชักับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นบ่อยๆซ้ำๆจนเป็นกิจวัตรประจำวันหรือประจำเดือน
- Jack plays football everyday.
- She drinks water every day.
- She drinks water every day.
มีหลักการนำไปใช้ ดังนี้
1. ประโยคบอกเล่า มีโครงสร้าง คือ Subject + Verb1 + (Object) หากประธานเป็นเอกพจน์ กริยาแท้ต้องเติม -s หรือ –es ตัวอย่างเช่น
She likes English .
Jack plays football everyday.
I like Thai .
Jack and his friends play football everyday.
1. ประโยคบอกเล่า มีโครงสร้าง คือ Subject + Verb1 + (Object) หากประธานเป็นเอกพจน์ กริยาแท้ต้องเติม -s หรือ –es ตัวอย่างเช่น
She likes English .
Jack plays football everyday.
I like Thai .
Jack and his friends play football everyday.
2. ประโยคคำถาม มีโครงสร้าง คือ Do/Does + Subject + Verb1 + (Object)? โดยกริยาแท้ ห้ามเติม –s หรือ –es หากประธานเป็นเอกพจน์ ใช้ Does ประธานเป็นพหูพจน์ Do ตัวอย่างเช่น
Does she like English?
Does Jack play football everyday?
Do you like Thai?
Do Jack and his friends play football everyday?
Does Jack play football everyday?
Do you like Thai?
Do Jack and his friends play football everyday?
โดยสามารถตอบคำถามข้างต้นได้ ดังนี้
Yes, he/she/it does.
No, he/she/it doesn’t.
Yes, I/you/we/they do.
No, I/you/we/they don’t.
Yes, he/she/it does.
No, he/she/it doesn’t.
Yes, I/you/we/they do.
No, I/you/we/they don’t.
3. ประโยคปฏิเสธ ใช้ do not (don’t) หรือ does not (doesn’t) ตามด้วยคำกริยาแท้รูปเดิม ห้ามเติม –s หรือ -es ตัวอย่างเช่น
I don’t like Thai.
She doesn’t like English.
Jack doesn’t play football everyday.
I don’t like Thai.
She doesn’t like English.
Jack doesn’t play football everyday.
หลักการเติม s ที่คำกริยา
1.กริยาที่ลงท้ายด้วย o, s, x, ch, ss, และ sh, ให้เติม es เช่น
pass – passes = ผ่าน
brush – brushes = แปรงฟัน
catch – catches = จับ
go – goes = ไป
box – boxes = ชก
2.กริยาที่ลงท้ายด้วย y และหน้า y ไม่ใช่ a e i o u ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม es
study studies เรียน, cry – cries = ร้องไห้, fry – fries = ทอด
3. กริยาที่นอกเหนือจากที่ไม่เข้ากฎในข้อ 1 และ ข้อ 2 ให้เติม s ได้เลย
1.กริยาที่ลงท้ายด้วย o, s, x, ch, ss, และ sh, ให้เติม es เช่น
pass – passes = ผ่าน
brush – brushes = แปรงฟัน
catch – catches = จับ
go – goes = ไป
box – boxes = ชก
2.กริยาที่ลงท้ายด้วย y และหน้า y ไม่ใช่ a e i o u ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม es
study studies เรียน, cry – cries = ร้องไห้, fry – fries = ทอด
3. กริยาที่นอกเหนือจากที่ไม่เข้ากฎในข้อ 1 และ ข้อ 2 ให้เติม s ได้เลย
Adverb of Frequency ที่ใช้ขยายคำกริยา เพื่อบอกถึงความถี่ของการกระทำ จะวางไว้หน้าคำกริยานั้นๆ ได้แก่
always สม่ำเสมอ 100 %
usually เป็นประจำ 80 %
often บ่อยๆ 60 %
sometimes บางครั้งบางคราว 30 %
seldom นานๆครั้ง 10 %
never ไม่เคย 0 %
always สม่ำเสมอ 100 %
usually เป็นประจำ 80 %
often บ่อยๆ 60 %
sometimes บางครั้งบางคราว 30 %
seldom นานๆครั้ง 10 %
never ไม่เคย 0 %
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น