วันอาทิตย์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

บทสนทนาภาษาอังกฤษพื้นฐานในชีวิตประจำวัน

บทสนทนาภาษาอังกฤษพื้นฐานในชีวิตประจำวัน
ในช่วงที่ประเทศไทยกำลังเปิดประเทศเพื่อเข้าสู่อาเซียนอยู่นี้ ภาษาอังกฤษได้ถูกเพิ่มความสำคัญขึ้นอย่างมาก หากใครกำลังกังวลถึงการสนทนาภาษาอังกฤษกับชาวต่างชาติ เราขอนำเสนอ บทสนทนาภาษาอังกฤษพื้นฐานที่จำทำให้คุณ สามารถ สปีค อิงลิชได้อย่างไม่น้อยหน้าใคร

เริ่มจาก Greeting การทักทายเพื่อเริ่มต้นพูดคุย

ตัวอย่างบทสนทนา
James : Hello, Pim. How are you? (สวัสดี พิม, สบายดีมั้ย)
Pim : Very well. Thank you. And you? (สบายดีมาก ขอบคุณ แล้วเธอเป็นอย่างไรบ้าง)
James : Fine. Thank you. (สบายดีเช่นกัน  ขอบคุณ)

บทสนทนาข้างต้นเป็นการทักทายโดยปกติทั่วไป หากต้องการความสุภาพที่มากขึ้น สามารถสนทนาได้ดังนี้

Dr. Thompson : Good morning, Mrs. Ploy. How are you today?
(สวัสดีครับ คุณพลอย เป็นอย่างไรบ้างครับ)
Mrs. Ploy :           Very well, thank you, Dr. Thompson. And how are you?
(สบายดีค่ะ ขอบคุณค่ะ ดร.ทอมสัน แล้วคุณเป็นอย่างไรบ้างคะ)
Dr. Thompson :  I’m fine, thank you.
(ผมสบายดีครับ ขอบคุณ)

หรือหากสนทนากับเพื่อนฝูงที่สนิทสนม และต้องการความเป็นกันเอง คุณอาจใช้บทสนทนาต่อไปนี้

Pol :    Hi, Tom. How’s it going??
(หวัดดีทอม เป็นไงบ้าง)
Tom :  Not bad. And you?
(ก็ไม่เลวนะ แล้วนายล่ะ)
Pol :    I’m ok. Thanks.
(ฉันสบายดี ขอบใจนะ)

และถ้าหากคุณไม่ได้กำลังสบายดีอยู่ หรืออีกฝ่ายที่คุณสนทนาด้วยไม่ได้ ฟิลแฮปปี้ คุณสามารถใช้บทสนทนานี้แทน

Singha : Hi, Jim. I haven’t seen you for a long time. How are you feeling today?
(หวัดดี จิม. ไม่เจอกันนาน. เป็นยังไงบ้าง)
Jim :      Not very well. I’ve got a terrible headache. I sat up late last night.
(ไม่ค่อยดีเท่าไหร่. ฉันรู้สึกปวดหัว เมื่อคืนฉันนอนดึกไปหน่อย)
Singha : Sorry to hear that. Did you take any medicine?
(เสียใจที่ได้ยินอย่างนั้นนะ แล้วกินยารึยัง)
Jim : Yes. Thank you, Singha.
(กินแล้ว ขอบใจนะสิงห์)

และทั้งหมดนี้คือ 4 บทสนทนาง่ายๆ ที่คุณสามารถใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไม่อายใคร

การแนะนำตัวเองเป็นภาษาอังกฤษ

การแนะนำตัวเองเป็นภาษาอังกฤษ
ในตอนนี้ ที่ประเทศไทยกำลังเข้าสู่อาเซียนนั้น ภาษาอังกฤษจึงมีบทบาทและความสำคัญอย่างยิ่งยวด ใครที่ยังพูดงูๆปลาๆอยุ่ ก็ควรรีบเร่งฝึกฝนพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของตัวเองไว้ เพื่อเป็นการต้อนรับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนของเราเอง และยังเพื่อนบ้านจากต่างทวีปที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักในการสื่อสาร เอาเป็นว่า อย่างน้อยเราก็ควรจะสามารถแนะนำตัวเองเป็นภาษาอังกฤษให้ได้ ถือเป็นพื้นฐานก่อนอันดับแรก แล้วจากนั้นค่อยไปฝึกฝนพัฒนาต่อยอด
การแนะนำตัวเองเป็นภาษาอังกฤษ ที่จริงก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรมากมาย หลักๆ แล้วนั้น ภาษาอังกฤษมักมีรูปแบบประโยคสำหรับการแนะนำตัวที่ตายตัว ซึ่งเราสามารถจดจำรูปแบบเหล่านั้น แล้วนำไปปรับใช้เป็นตัวเราได้เลยทันที สามารถใช้แนะนำตัวเราเองได้สบายๆ

รูปแบบประโยคแนะนำตัวเองนั้น แบ่งออกเป็น
1.               การแนะนำตนเองแบบเป็นกันเอง เป็นการพบกันและแนะนำตัวเองอย่างง่ายๆ ไม่เป็นทางการซักเท่าไหร่
Hello. (ทักทาย)
เฮ็ลโล๊ (สวัสดี)
My name’s ………… (บอกชื่อ)
มาย เนมส …………. (ฉันชื่อ …………)
I’m from Thailand. (ข้อมูลเพิ่มเติม)
ไอม ฟรอม ไท๊แลนด (ฉันมาจากประเทศไทย)
I’m a student. (ข้อมูลเพิ่มเติม)
ไอม อะ สติ๊วเดินท (ฉันเป็นนักเรียน)
Glad to meet you. (แสดงความยินดีที่ได้เจอกัน)
แกลด ทะ มีท ชู (ดีใจที่ได้เจอกัน)
2.               การแนะนำตนเองแบบเป็นทางการ ไม่แตกต่างจากแบบเป็นกันเองเท่าไหร่นัก เพียงแต่เน้นที่ความสุภาพมากขึ้น
Good morning. (ทักทาย)
กุด ม๊อนิง (อรุนสวัสดิ์ค่ะ)
May I introduce myself? (ขออนุญาต)
เม๊ ยาย ยินทระดิ๊วซ มายเซ๊ลฟ (ฉันขออนุญาตแนะนำตัวเองนะครับ)
My name is  …………. (บอกชื่อ)
มาย เนม มิส…………. (ฉันชื่อ …………)
I’m the marketing manager from  …………. (ข้อมูลเพิ่มเติม)
ไอม เดอะ ม๊าคิททิง แม๊นนิจเจอะ ฟรอม …………. (ฉันเป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดจาก …………)
Nice to meet you. (แสดงความยินดีที่ได้เจอกัน)
ไนซ ทะ มีท ชู (ยินดีที่ได้รู้จัก)

3. ประโยคพื้นฐานอื่นๆ ที่สามารถใช้ในการแนะนำตัวเองได้นั้น ก็เป็นส่วนเสริมที่เราสามารถนำไปใช้แนะนำตัวเองได้เช่นกัน  
Let me introduce myself. My name is ………… ฉันขออนุญาติแนะนำตัวเอง ดิฉันชื่อ …………
My nickname is  ………… ชื่อเล่นของฉันคือ  …………
I am studying at  ………… School. ฉันกำลังศึกษาอยู่โรงเรียน …………
I am studying in  …………  ฉันกำลังเรียนอยู่ …………
My major was  …………. สายการเรียน …………
I live in  ………….ฉันอาศัยอยู่ที่ …………
I live with   …………. ฉันอยู่กับ …………
I have ………… brother and ………… sister.ฉันมีน้องชาย ………… คนและน้องสาวอีก ………… คน
My hobby is  …………. งานอดิเรกของฉันคือ …………
My favorite sport is  …………. กีฬาที่ฉันชื่นชอบคือ …………

เพียงใช้รูปแบบประโยคเหล่านี้มาดัดแปลงเป็นตัวเราก็สามารถแนะนำตัวเองเป็นภาษาอังกฤษได้อย่างง่ายดาย เพราะการแนะนำตัวเองนั้น เป็นเพียงการนำเสนอตัวเราเองให้ผู้อื่นรู้จักว่าเรานั้น เป็นใคร ชื่ออะไรมาจากที่ไหน ซึ่งรูปแบบประโยคนั้นไม่ได้ตายตัว สามารถเปลี่ยนไปตามที่เราต้องการจะบอกเล่า

บทสนทนาภาษาอังกฤษในร้านอาหาร

ในเวลาที่เราไปใช้บริการของภัตตาคารหรือร้านอาหารต่างๆ โดยเฉพาะที่เป็นร้านอาหารของชาวต่างชาติ แน่นอนครับว่าเด็กเสิร์ฟหรือเสมียนประจำร้านจะต้องเข้ามารับรองแขกหรือเป็นคนแนะนำเมนูอาหารเด็ดๆให้เรา ไม่เว้นกระทั่งการเอ่ยถามว่าวันนี้เรามารับประทานอาหารกันกี่คนหรือจะนั่งในห้องพิเศษหรือห้องธรรมดา และรวมไปถึงการจดเมนูอาหารและคอนเฟิร์มเมนูอาหาร วันนี้เราจึงจะขอแนะนำให้ทุกท่านได้รู้จักกับการพูดคุยหรือการสนทนาภายในร้านอาหารครับ
restaurant
ตัวอย่างที่ 1
Server : Good Evening. Table for two?  (สวัสดีตอนเย็นนะครับ นั่งโต๊ะแบบ 2 ที่ใช่ไหมครับ ?)
Ayako : Yes, please. (ใช่ค่ะ)
Server : Smoking or non-smoking? (ต้องการที่นั่งแบบสูบบุหรี่หรือไม่ครับ ?)
Tsubasa : Non-smoking. (ไม่สูบครับ)
Server : Right this way, please. (เชิญมาทางนี้เลยครับ)
Server : I’ll be back in a few minutes to take your order. (เดี๋ยวผมจะกลับมาภายใน 2-3 นาทีนะครับ ตอนนี้ก็ลองอ่านเมนูอาหารไปพลางๆก่อนนะครับ)

ตัวอย่างที่ 2
Server : Good Evening Sir. May I take your order now?   (สวัสดีครับคุณผู้ชาย จะรับอาหารเมนูไหนดีครับ)
Michael : Yes, we’d like to have a mixed vegetable salad, a sliced fish in spicy broth and a stir-fried cabbage with dried chilli.  (ผมขอเป็นสลัดผักรวมมิตร แล้วก็เอาปลาชิ้นในซุปเผ็ด แล้วก็เอาผัดผักกะหล่ำพริกแห้งอีกชุดนะครับ)
Server : Yes, sure. Would you like to have some dumpling or dessert?  (รับทราบครับผม ไม่ทราบว่าจะรับขนมจีบหรือขนมหวานเพิ่มเติมด้วยไหมครับ ?)
Michael : Oh,no. We’re on diet. (ไม่ดีกว่าครับ ผมกำลังลดความอ้วน)
Server : Then any drinks or tea? (รับเครื่องดื่มอะไรดีครับ จะรับเป็นน้ำอัดลมหรือน้ำชาดีครับ)
Michael: A Pepsi and an Beer. (ขอเป๊ปซี่ กับเบียร์ก็แล้วกันครับ)
Server : Certainly, Sir. You have ordered a mixed vegetable salad, a sliced fish in spicy broth and a stir-fried cabbage with dried chilli. A Pepsi and a Beer. (รับทราบครับผม ผมขออนุญาตทวนรายการอาหารนะครับ มีสลัดผักรวม ซุปปลาชิ้นและผัดกะหล่ำพริกแห้ง ส่วนเครื่องดื่มจะมีเป๊ปซี่และเบียร์นะครับ)
Michael : That’s right. (ตามนั้นครับ)
Server : Thank you. Your order will be ready soon. (ขอบคุณมากครับที่ใช้บริการ กรุณารอสักครู่นะครับ)
จากตัวอย่างนี้ ก็เป็นการสนทนาระหว่างบริกรของร้านนะครับ เราสามารถที่จะใช้ในการพูดคุยกับคนที่นำอาหารมาเสิร์ฟ หรือจะใช้ในการสั่งอาหารก็ได้ครับ จากตัวอย่างนี้ส่วนใหญ่จะเป็นการสนทนาที่ใช้กันโดยทั่วไปในร้านอาหารนะครับ ก็ลองนำไปใช้เป็นต้นแบบในการพูดในร้านอาหารได้นะครับ

บทสนทนาภาษาอังกฤษทางโทรศัพท์

สำหรับในการใช้โทรศัพท์นะครับ ก็อย่างที่ทราบกันนะครับว่าการสนทนากันทางโทรศัพท์ ก็จะอยู่ในแนวทางการใช้ภาษาที่ไม่ค่อยเป็นทางการเสียเท่าไหร่ ไม่เว้นแม้แต่การพูดภาษาอังกฤษทางโทรศัพท์ เราอาจจะพูดคุยกับเพื่อนชาวต่างชาติก็ได้ โดยเฉพาะกับเพื่อนที่อยู่ต่างประเทศครับ แน่นอนว่าการฝึกพูดบทสนทนาภาษาอังกฤษไว้คุยกับเพื่อนทางโทรศัพท์มันก็ไม่เลวเหมือนกันนะครับ ยิ่งดูเพิ่มความสนิทสนมกับเพื่อนได้มากขึ้นอีกด้วยครับ
แม้กระทั่งการพูดคุยกันผ่าน Skype ซึ่งสามารถใช้การโทรคุยกันผ่านไมค์ได้ เราเองก็สามารถใช้การพูดคุยด้วยประโยคหรือ Dialogue ภาษาอังกฤษในการพูดคุยได้อีกเช่นกันครับ วันนี้เราจึงได้หยิบเอาตัวอย่างการสนทนาภาษาอังกฤษเวลาที่เราจะพูดคุยโทรศัพท์มาให้เราได้ลองฝึกพูดดูครับ เพื่อเป็นแนวทางและดูว่าส่วนใหญ่เวลาที่เราเปิดประเด็นคุยกันผ่านโทรศัพท์นั้น เรามักจะพูดกันแบบไหนบ้าง
การทักทายของผู้ที่เป็นฝ่ายรับโทรศัพท์
- Good morning, Colonel Dylan’s House, Julia speaking.
อรุณสวัสดิ์ค่ะ นี่บ้านของผู้พันดีแลน ดิฉันจูเลียรับสายค่ะ
- Hello, (this is)  Samutprakan Crocodile Farm & Zoo. May I help you?
สวัสดีค่ะ ที่นี่ฟาร์มจระเข้และสวนสัตว์สมุทรปราการ มีอะไรให้ดิฉันช่วยคะ ?
การสอบถามผู้ที่โทรศัพท์มาว่าต้องการติดต่อหรือพูดคุยกับใคร
- Who would you like to speak to?
นี่ใครคะ และต้องการพูดสายกับใครคะ ?
- Who are you calling for?
คุณต้องการจะพูดกับใคร ?
ตัวอย่างบทสนทนาทางโทรศัพท์เป็นภาษาอังกฤษ แบบที่ 1
A : Hello, is it nine five nine six one one two ?
ฮัลโหล นี่ใช้เบอร์โทรศัพท์ 9596112 รึเปล่าครับ ?
B : Yes, that’s right. Who’s calling ?
ใช่แล้วค่ะ ใครโทรมาคะนั่น ?
A : Michael speaking. Can I speak to Mr. Brian, please ?
ผมไมเคิลครับ ผมขออนุญาตคุยกับไบรอันหน่อยได้รึเปล่าครับ ?
B : Would you hold on a moment, please ?
ได้ค่ะ ถือสายรอสักครู่นะคะ ?
A : Sure, thanks.
ครับ ขอบคุณครับ
ตัวอย่างบทสนทนาทางโทรศัพท์เป็นภาษาอังกฤษ แบบที่ 2
A : Hello. Is this Ronaldo’s residence please ?
ฮัลโหล บ้านของโรนัลโด้ใช่ไหมครับ ?
B : I’m sorry. This is Messi’s residence.
ขอโทษครับ นี่บ้านของเมสซี่ครับ
A : Oh I’m very sorry to disturb you. I got the wrong number.
โอ้ ขอโทษครับที่รบกวนคุณ ผมได้หมายเลขผิดครับ
B : That’s all right.
ไม่เป็นไรครับ
นี่ก็เป็นตัวอย่างบทสนทนาทางโทรศัพท์นะครับ ในแบบฉบับภาษาอังกฤษ ก็ลองนำไปประยุกต์ใช้กันได้อย่างตามอัธยาศัยเลยนะครับ ฝึกไว้บ่อยๆ จะสามารถใช้คุยกับเพ่อนๆชาวต่างชาติเวลาโทรทางไกลได้อีกด้วยครับ

Parts of Speech

การแต่งประโยคภาษาอังกฤษ สิ่งสำคัญคือต้องรู้จัก Parts of Speech  (อ่านว่า พาทส ออฟ สปีช) ซึ่งแปลตรงตัวได้ว่า ส่วนต่างๆ ของคำพูด แต่หากจะแปลให้เข้าใจง่ายๆ Parts of Speech  คือ ชนิดของคำในภาษาอังกฤษ  เพราะข้อความที่ใช้สื่อสารในภาษาอังกฤษนั้น ประกอบขึ้นด้วย คำ (word) หรือกลุ่มคำซึ่งนำมาเรียงต่อเนื่องกันเป็นวลี (phrase) หรือประโยค (sentence)  ซึ่งเหล่านี้เกิดจากชนิดของคำต่างๆมารวมกัน โดยมีหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่งตามหลักไวยากรณ์อังกฤษ  (grammar)
Parts of Speech  มี 7 ชนิด ได้แก่
  1. Noun (นาวนฺ) คำนาม คือ คำที่ใช้แทน คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ ความรู้สึก เป็นต้น เช่น
-             แทนคน ได้แก่ man, teacher
-             แทนสัตว์ cat, dog
-             แทนสิ่งของ car, pen
-             แทนสถานที่ hospital, station
-             แทนความรู้สึก  happiness, sorrow
Etc.
2. Pronoun (โพรนาวน) คำสรรพนาม คือ คำที่ใช้เรียกแทนคำนาม เพื่อจะได้ไม่ต้องกล่าวซ้ำ แบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ ได้แก่ คำสรรพนามที่ใช้แทนบุคคล คำสรรพนามที่แสดงการชี้เฉพาะ คำสรรพนามที่ไม่ชี้เฉพาะ คำสรรพนามที่ใช้เชื่อมประโยคย่อยไม่อิสระเข้ากับคำนามหรือสรรพนามอื่นที่ต้องการขยาย คำสรรพนามที่ใช้เมื่อประธานและกรรมเป็นคนเดียวกันหรือสิ่งเดียวกัน คำสรรพนามที่ใช้ในการถามคำถาม และคำสรรพนามที่ใช้แสดงว่าบุคคลหรือสิ่งนั้นกระทำหรือรู้สึกเช่นเดียวกันต่อกัน ตัวอย่างบุรุษสรรพนาม  เช่น กรรม  I, me, you, he, him,  she, her,  it, we, us, they, them  Etc.
3. Verb (เวิร์บ) คำกริยา คือ คำที่แสดงการกระทำ หรือบอกสภาวะ แบ่งเป็น
-             กริยาต้องการกรรม เช่น eat, drink, hit
-             กริยาไม่ต้องการกรรม เช่น go, walk, swim, run
-             กริยาช่วย เช่น Verb to be, Verb to do, Verb to have
Etc.
4. Adverb (แอดเวิร์บ) คำกริยาวิเศษณ์ คือ คำทีใช้ขยายคำกริยาว่า เพื่อแสดงให้เห็นว่า กริยานั้นกระทำทำเมื่อไหร่ อย่างไร ลักษณะไหน นอกจากนี้ยังขยายคำคุณศัพท์ และคำวิเศษณ์ อีกด้วย เช่น
-             ขยายกริยาเรื่องเวลา เช่น  yesterday, tomorrow
-             ขยายกริยาในลักษณะการกระทำ เช่น fast, slowly
-             ขยายคำคุณศัพท์ เช่น  very, much
-             ขยายคำวิเศษณ์ เช่น very, so
Etc.
5. Adjective (แอดเจ็คทิฟ) คำคุณศัพท์ คือ คำที่ใช้บอกลักษะคำนาม ว่ามีรูปร่างหน้าตา หรือลักษณะอย่างไร มีหน้าที่ขยายเฉพาะคำนามและสรรพนาม เช่น
-             คำคุณศัพท์แสดงลักษณะ เช่น tall, short, fat, thin, white, black, far, near Etc.
-             คำคุณศัพท์แสดงความเป็นเจ้าของ เช่น my, your, our Etc.
-             คำคุณศัพท์แสดงลำดับที่ เช่น the first, the second Etc.
-             คำคุณศัพท์แสดงจำนวน เช่น one, two, three Etc.
Etc.
6. Conjunction (คอนจั๊งชัน) คำสันธาน คือ คำที่ใช้เชื่อมคำ วลี หรือประโยคเข้าด้วยกัน เช่น and, but, nor, or, for, so, yet Etc.
7. Preposition (เพร็บพะสิชัน) คำบุรพบท คือคำที่ใช้แสดงความสัมพันธ์กันของคำหรือวลีในประโยค เช่น in, on, at, to, by, from Etc.
8. Interjection (อินเทอะเจ็๊คชัน) คำอุทาน คือคำที่ใช้แสดงความตื่นเต้น ตกใจ เจ็บปวด ความโกรธ โดยมักตามหลังด้วยเครื่องหมายตกใจ เป็นต้น เช่น wow, oh, uh Etc.

โครงสร้าง tense ทั้ง 12

Tense ทั้ง 12
Tense ในภาษาอังกฤษ คงเป็นสิ่งน่ากลัวสยดสยองสำหรับนักเรียนและคนที่กำลังเรียนภาษาอังกฤษ หลายคนคงปวดหัวมึนตึบ กับ Tenseที่เยอะจนไม่รู้จะจำยังไงไหว วันนี้เรามีสรุปหลักโครงสร้าง Tenseทั้ง12 มาให้ได้ลองศึกษากัน
ก่อนอื่นเราต้องรู้จัก Tense ก่อนว่าคืออะไร?
Tense คือ รูปแบบ หรือโครงสร้างของกริยา ที่ทำให้เรารู้ถึงการกระทำหรือเหตุการณ์ว่าเกิดขึ้นเมื่อใด ซึ่งเรื่อง tense นั้นสำคัญมาก เพราะประโยคในภาษาอังกฤษจะอยู่ในรูปของ tense เสมอ แตกต่างกับภาษาไทย
Tense ในภาษาอังกฤษถูกแบ่ง ออกเป็น 3 tense ใหญ่ๆ คือ
1. Present tense ปัจจุบัน
2. Past tense อดีตกาล
3. Future tense อนาคตกาล
โดยในแต่ละ tense ยังแยกย่อยเป็นได้อีก 4 รูปแบบ ดังนี้
1 . Simple tense ธรรมดา เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน
2. Continuous tense กำลังกระทำอยู่ หรือกำลังเกิดขึ้นอยู่
3. Perfect tense สมบูรณ์ ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว
4. Perfect continuous tense สมบูรณ์กำลังกระทำ ทำเรียบร้อยแล้วและกำลัง ดำเนินอยู่ด้วย
เมื่อรวมกันแล้ว ทำให้เกิดเป็น Tense ทั้ง 12 ซึ่งมีโครงสร้าง ดังนี้
Present Tense
Present Simple มีโครงสร้างคือ S + Verb 1 + … (บอกความจริงที่เกิดขึ้นง่ายๆ ตรงๆไม่ซับซ้อน).
Present Continuous มีโครงสร้างคือ S + is, am, are + Verb ing + …(บอกว่าเดี๋ยวนี้กำลังเกิดอะไร อยู่).
Present Perfect มีโครงสร้างคือ S + has, have + Verb 3 + ….(บอกว่าได้ทำมาแล้วจนถึง ปัจจุบัน).
Present Perfect continuous มีโครงสร้างคือ S + has, have + been + Verb ing + …(บอกว่าได้ทำมาแล้วและกำลังทำ ต่อไปอีก).
Past Tense
Past Simple มีโครงสร้างคือ S + Verb 2 + …..(บอกเรื่องที่เคยเกิดมาแล้วใน อดีต).
Past Continuous มีโครงสร้างคือ S + was, were + Verb 1 +…(บอกเรื่องที่กำลังทำอยู่ในอดีต).
Past Perfect มีโครงสร้างคือ S + had + verb 3 + …(บอกเรื่อที่ทำมาแล้วในอดีตใน ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง).
Past Perfect continuous มีโครงสร้างคือ S + had + been + verb 1 ing + …(บอกเรื่องที่ทำมาแล้วอย่างต่อ เนื่องไม่หยุด).
Future Tense
Future Simple มีโครงสร้างคือ S + will, shall + verb 1 +….(บอก เรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต).
Future Continuous มีโครงสร้างคือ S + will, shall + be + Verb 1 ing + ….(บอกว่าอนาคตนั้นๆกำลังทำอะไร อยู่).
Future Perfect มีโครงสร้างคือ S + will,s hall + have + Verb 3 +…(บอกเรื่องที่จะเกิดหรือสำเร็จ ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง).
Future Perfect continuous มีโครงสร้างคือ S + will,shall + have + been + verb 1 ing +.. ..(บอกเรื่องที่จะทำอย่างต่อเนื่องในเวลาใด – เวลาหนึ่งในอนาคตและ จะทำต่อไปเรื่อยข้างหน้า).
ทั้งหมดนี้เป็นโครงสร้าง Tense ทั้ง 12 หากเราจำโครงสร้างได้ ก็จะสามารถนำไปใช้ได้ตรงกับเหตุการณ์และการกระทำตามช่วงเวลาที่เกิดขึ้น

Present simple tense

โครงสร้าง : Subject + Verb 1 + (Object)

หลักการใช้
1. ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นจริงเสมอ หรือเหตุการณ์ที่เป็นไปตามธรรมชาติ เช่น
  • The sun rises in the east. (พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก)
  • The cat has four legs. (แมวมีสี่ขา)
2. ใช้แสดงถึงการกระทำที่เป็นปรกตินิสัย หรือการกระทำนั้นเกิดขึ้นเป็นประจำมี Adverb of Frequency แสดง
  • I have my breakfast everyday. (ผมรับประทานอาหารเช้าทุกวัน)
  • Everybody wears thick clothes in winter. (ทุกๆ คนสวมเสื้อหนาๆ ในฤดูหนาว)
  • We go to temple every Sunday. (พวกเราไปวัดทุกๆ วันอาทิตย์)
3. ใช้แสดงถึงการกระทำที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน หรือสภาพที่เป็นปัจจุบัน เช่น
  • She understands what you say. (เธอเข้าใจที่คุณพูด)
  • I have four notebooks in the suitcase. (ฉันมีสมุด 4 เล่มอยู่ในกระเป๋า)
4. ใช้แสดงถึงการกระทำในอนาคต ซึ่งตัดสินใจแน่นอนแล้วว่าจะปฏิบัติ
  • The next semester begins in two weeks. (อีก 2 อาทิตย์จึงจะเปิดเทอมหน้า)
  • He sets sail on Saturday for Samui. (เขาจะออกเรือไปสมุยในวันเสาร์)
หมายเหตุ* อย่าลืมนะว่าถ้าประธานเป็นเอกพจน์ กริยาต้องเติม S
หลักการเติม s ที่คำกริยา
1.กริยาที่ลงท้ายด้วย s, ss, sh, ch, o, หรือ x ให้เติม e ก่อนแล้วจึงเติม s เช่น
  • pass – passes = ผ่าน
  • brush – brushes = แปรงฟัน
  • catch – catches = จับ
  • go – goes = ไป
  • box – boxes = ชก
2.กริยาที่ลงท้ายด้วย y และหน้า y เป็นพยัญชนะ ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วจึงเติม es เช่น
  • cry – cries = ร้องไห้
  • fry – fries = ทอด
  • try – tries = พยายามข้อยกเว้น ถ้ากริยานั้นหน้า y เป็นสระ ให้เติม s ได้เลย เช่น
  • play – plays = เล่น             stay – stays = พัก
3. กริยาที่นอกเหนือจากที่กล่าวในข้อ 1 และ ข้อ 2 ให้เติม s ได้เลย

ประโยคต่าง ๆ ของ Present simple tense.

1. ประโยค Present Simple Tense เชิงบอกเล่า
โครงสร้าง :              Subject + Verb 1 (s )
( ประธาน + กริยาช่องที่ 1 ( s ) )
( เมื่อประธานเป็นเอกพจน์บุรุษที่ 3 หลังคำกริยาจะต้องเติม s )
ตัวอย่าง :
  • 1.   I go to school by car. (ฉันไปโรงเรียนโดยรถยนต์)
  • 2. He walks to school. ( เขาเดินไปโรงเรียน )
  • 3. You play football every day. ( คุณเล่นฟุตบอลทุกวัน )
  • 4. Somsri and Somsak study English every day .( สมศรีและสมศักดิ์เรียนภาษาอังกฤษทุกวัน )

2. ประโยค Present Simple Tense เชิงปฏิเสธ

เมื่อต้องการแต่งประโยคใน Present Simple Tense ให้มีความหมายเชิงปฏิเสธ
ทำได้ด้วยการใช้ Verb to do มาช่วย มีหลักการใช้ดังนี้
do ใช้กับประธานพหูพจน์ และ I กับ you
does ใช้กับประธานเอกพจน์ ซึ่งมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง :                Subject + do / does + not + Verb 1
( ประธาน + do / does + not + กริยาช่องที่ 1 )
ตัวอย่าง :
  • 1.  I do not ( don’t ) go to school by car. ( ฉันไม่ไปโรงเรียนโดยรถยนต์ )
  • 2. He does not ( doesn’t ) walk to school. ( เขาไม่เดินไปโรงเรียน )
  • 3. You do not play football every day. ( คุณไม่เล่นฟุตบอลทุกวัน )
  • 4. Somsri and Somsak do not study English every day .( สมศรีและสมศักดิ์ไม่เรียนภาษาอังกฤษทุกวัน )
ข้อสังเกต :    เมื่อนำ does มาช่วยในประโยคแล้ว ต้องตัด s ออกด้วย
3. ประโยค Present Simple Tense เชิงคำถามและการตอบ
เมื่อต้องการแต่งประโยคใน Present Simple Tense ให้มีความหมายเชิงคำถาม
ทำได้ด้วยการนำ do หรือ does มาวางไว้หน้าประโยค และตอบด้วย Yes หรือ No
ซึ่งมีโครงสร้างของประโยคดังนี้
โครงสร้าง :          Do / Does + Subject + Verb 1 ?
( Do / Does + ประธาน + กริยาช่องที่ 1 )
ตัวอย่าง :
1. Does he walk to school ? (เขาเดินไปโรงเรียนใช่หรือไม่ )
  • Yes, he does. ( ใช่ เขาเดินไปโรงเรียน )
  • No, he doesn’t. ( ไม่ใช่ เขาไม่ได้เดินไปโรงเรียน )
2. Do you play football every day ? ( คุณเล่นฟุตบอลทุกวันใช่หรือไม่ )
  • Yes, I do. ( ใช่ ฉันเล่นฟุตบอลทุกวัน )
  • No, I don’t. ( ไม่ใช่ ฉันไม่ได้เล่นฟุตบอลทุกวัน )